สนับสนุนการทำกิจกรรม ส่งเสริมประชาธิปไตยของชาวเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

ชื่อบัญชี นปช.แดงเชียงใหม่ ธนาคารออมสิน เลขที่บัญชี 02 0012142 65 7 ( มีผู้รับผิดชอบบัญชี 3 ท่าน )

ติดต่อเรา deangchiangmai@gmail.com

ราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน บล็อค นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชนรุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้สร้างเวปบล็อคไว้ 2 ที่ คือที่นี่ “ แดงเจียงใหม่” สำหรับการบอกกล่าวในเรื่องทั่วไป และอีกที่หนึ่งคือ “ Daeng ChiangMai “ สำหรับข่าวสารที่เราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการรับรู้ข่าวสารในการร่วมทำกิจกรรมของพี่น้องประชาชน


เชิญร่วมสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกันครับ
“แดงเจียงใหม่” " Daeng ChiangMai "

รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน

การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : สมุดปกขาวโดยสำนักกฎหมาย Amsterdam & Peroff การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ . ไพร่สู้บนเส้นทาง ๗๘ ปี ประชาธิปไตย ( ๒๔๗๕ - ๒๕๕๓ ) จรรยา ยิ้มประเสริฐ Voter's Uprising Thai

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การต่อสู้ยกใหม่ของ ไพร่ สามัญ


ศิวะ รณยุทธ์
พฤษภาคม 2553

การ สังหารหมู่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553ซึ่งรัฐบาลฆาตกรอำมหิตลงมือเข่นฆ่าประชาชนที่ชุมนุมเรียกร้อง ความ ยุติธรรมและประชาธิปไตยที่ผ่านมา ได้เปิดโปงโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของอำนาจรัฐเผด็จการใต้บงการเครือ ข่ายอำมาตย์ ที่หวังผูกขาดอำนาจต่อไปบนกองเลือดและความสูญเสียของประชาชนโดย ไม่ยี่หระกับ ต้นทุนใดๆที่จะตามมาอย่างล่อนจ้อน

หลังจากการปราบปรามอย่าง โหดเหี้ยมสามานย์ ซึ่งได้ตอกลิ่มความคั่งแค้นให้กับมวลชน เป็นรอยแผลที่ไม่มีวันเจือจางลง พวกมันก็ใช้ชั้นเชิงทางการเมืองอำพรางอย่างเล่ห์กระเท่ เสแสร้งเรียกร้องเรื่องหลอมรวมจิตใจและการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนา ประเทศครั้ง ใหม่สร้างบ้านที่น่าอยู่อย่างเป็นหนึ่งเดียวอย่างเพิกเฉยต่อความยุติธรรมและเสรีภาพที่ปล้นชิงไปจากประชาชน

สำหรับ ประชาชนที่เป็นไพร่สามัญแล้ว การปราบปรามเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นให้บทเรียนที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง และตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรมเสมอหน้า และประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ไม่มีวันได้มาโดยง่ายดาย แต่ต้องผ่านเส้นทางที่ปวดร้าวและคดเคี้ยว เพราะพวกเผด็จการอำมาตย์ได้ยืนยันจุดยืนของพวกมันชัดเจนแล้วว่า จะไม่ยอมแบ่งปันอภิสิทธิ์และผลประโยชน์ที่ปล้นชิงไปคืนให้แก่มวล ชนแม้สัก เล็กน้อย

เพียงแค่มวลชนเสื้อแดงเรียกร้องการเลือกตั้งที่ ยุติธรรม และเคารพหลักการประชาธิปไตยที่แท้จริงอันเป็นเงื่อนไขต่ำที่สุดสำหรับ ประชาธิปไตย พวกอำมาตย์ก็มอบการปราบปรามเข่นฆ่าอย่างหฤโหด โดยข้อหาร้ายแรงสารพัดเป็นสิ่งตอบแทน

ภารกิจของมวลชนผู้รัก ความ ยุติธรรมเสมอหน้า ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมนับแต่นี้ไป ก็คือ ด้านหนึ่งทำการสรุปบทเรียนที่ผ่านมา และอีกด้านหนึ่งยกระดับตนเองเพื่อการต่อสู้ในอนาคต

สรุปบทเรียน ของการต่อสู้ที่ผ่านมา

1.
ผลลัพธ์ ของการต่อสู้ครั้งนี้ มิได้จบลงที่ความพ่ายแพ้อย่างราบคาบของมวลประชาชนที่เป็นไพร่ สามัญ แต่เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่ยิ่งใหญ่กว่าการต่อสู้ในระดับประเทศ เมื่อครั้ง 14 ตุลาคม 2516 หรือ 6 ตุลาคม 2519 หรือ พฤษภาคม 2535 และในระดับโลกแล้วถือว่าสูงส่งยิ่งกว่าการต่อสู้ของคอมมูนปารีส ของฝรั่งเศส ใน ค.ศ. 1871 และเทียบเคียงได้กับการต่อสู้ของกลุ่มกรรมกรโปแลนด์ภายใต้ขบวนการ โซลิดาริ ตี้ ค.ศ. 1980-1989และการต่อต้านภาษีเกลือของมหาตมะ คานธี เป็นก้าวย่างที่สำคัญสำหรับการยกระดับการต่อสู้ของไพร่สามัญใน อนาคตที่จะมา ถึง

วีรภาพของมวลชนคนเสื้อแดงทั้งที่เสียสละชีวิต เวลา และทรัพย์สิน ทำการต่อสู้พร้อมกันในขอบเขตทั่วประเทศอย่างกล้าหาญจนถึงนาทีสุดท้าย (กระทั่งหลังจากที่แกนนำยุติการชุมนุมไปแล้ว) ถือเป็นจิตใจที่ควรได้รับการสดุดีแบบวีรชนคนกล้าเยี่ยงชาวบ้านบาง ระจัน ชาวอีสานในขบถผีบุญ และชาวสยามมุสลิมภาคใต้ในอดีต จะตรึงตราและขจรไกลในหัวใจของผู้รักความยุติธรรมและเสรีภาพทั่วทั้ง สังคมและ ทั่วโลกไปยาวนาน

ขบวนการจัดตั้งของมวลชน แม้จะยังขาดเอกภาพในระดับที่ต้องปรับปรุงต่อไป ก็ถือว่า ได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นเก่าแก่เรื่องอำนาจนำในทุกด้านของพวก อำมาตย์ลงไป อย่างรุนแรง จนต้องตัดสินใจใช้การปราบปรามเข่นฆ่า โดยหวังจะให้มวลชนที่เป็นไพร่สามัญยอมสยบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกมัน ไปอย่างไม่ มีที่สิ้นสุด

2.
จุดจบของการต่อสู้ครั้งนี้ คือ คำยืนยันอย่างเป็นทางการและเป็นรูปธรรมของสงครามทางชนชั้นที่ดำรง อยู่จริง ซึ่งไม่อาจจะปิดบังอีกต่อไปได้แล้ว ยังได้เปิดแผลใหม่ให้กับความขัดแย้งที่ใหญ่กว่าเดิม พร้อมกับกลบฝังคำขวัญหลอกลวงหรือวาทกรรมเกี่ยวกับเรื่องรู้รักสามัคคีหรือ การเลื่อนฐานะทางสังคมอย่างสันติ ที่พวกอำมาตย์ใช้มอมเมาประชาชนมายาวนานจนหมดสิ้น

สงครามทาง ชนชั้น เป็นเรื่องของการแย่งชิงความมั่งคั่งและอำนาจนำในการชี้ทางเลือก ของสังคม ตราบใดที่ความยุติธรรมและเสรีภาพของประชาชนยังถูกปล้นชิงไป ตราบนั้นการต่อสู้นี้จะไม่มีวันยุติได้เพียงแค่การใช้ข้ออ้างใน เรื่อง จริยธรรม สันติภาพ ความปรองดอง และเสรีภาพอันเลื่อนลอย ซึ่งเป็นเพียงวาทกรรมที่เป็นเครื่องมือหลอกลวงของพวกอำมาตย์เท่า นั้น

3.
การ ต่อสู้ครั้งนี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า การเลือกเอายุทธวิธีการต่อสู้ใดต่อสู้หนึ่งเพียงอย่างเดียว และ วิธีการกำหนดเป้าหมายอย่างตายตัวในการต่อสู้กับศัตรูที่พร้อมจะ ใช้เครื่อง มือการต่อสู้ทุกรูปแบบที่พลิกแพลงเพื่อยึดกุมอำนาจเผด็จการของพวก มันเอาไว้ คือการจำกัดตัวเองในการต่อสู้ (ในทางยุทธศาสตร์ทางการเมืองและทางทหารเรียกว่า สงครามจำกัดวง ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ไม่เคยได้รับชัยชนะไม่ว่าที่ไหนในประวัติศาสตร์ สงคราม )ที่ไม่มีทางบรรลุเป้าหมายได้เลย ซึ่งผู้เขียนได้เคยตอกย้ำเอาไว้หลายครั้งแล้ว (ดู ศิวะ รณยุทธ์ สองก้าวข้าม เพื่อปฏิวัติประชาธิปไตย ยุทธศาสตร์ที่เป็นเอกภาพ ยุทธวิธีที่หลากหลาย, 28 ธันวาคม 2552) ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ การเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่เป็นข้อเรียกร้องเดียว ของแกน นำโดยหวังว่า จะนำไปสู่แรงเหวี่ยงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ใหญ่หลวง กว่า เป็นการกระทำที่เปรียบได้กับปลูกมะนาว หวังเก็บกินส้มโอโดยแท้

4.
ลัทธิคลั่งเจ้าเชิดสถาบันกษัตริย์เหนือเหตุผลอื่นใด ได้ถูกพวกอำมาตย์นำมาอ้างใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างและเข่นฆ่าผู้ รักความ ยุติธรรมและประชาธิปไตยอย่างเห้มโหด (แม้กระทั่งในเขตอารามวัดที่พวกมันประกาศเป็นเขตอภัยทาน) โดยมีเป้าหมายหวังทำลายล้างพลังต่อสู้ของมวลไพร่สามัญให้ราบคาบจน ไม่อาจฟื้น ตัวได้อีก ตอกย้ำให้เห็นการสมรู้ร่วมคิดของสถาบันกษัตริย์กับพวกอำมาตย์ที่ ร่วมกัน ประกาศสงครามทางชนชั้นกับมวลไพร่สามัญอย่างถึงที่สุด

5.
การ ประ เมินความเห้มโหดของพวกเผด็จการอำมาตย์ต่ำเกินไป ทำให้มวลชนมีความโน้มเอียงประเมินกำลังของตนเองสูงเกินไป หรือ มองสถานการณ์แคบเกินไป นำไปสู่การสุ่มเสี่ยงบนพื้นฐานความหลงผิดที่เชื่อว่าพวกมันจะ ละอายแก่ใจ มากจนไม่อาจทนทานต่อเสียงเรียกร้องประณามของผู้รักประชาธิปไตยและ รัฐบาลหรือ องค์กรระหว่างประเทศทั่วโลก ถือเป็นความเพ้อฝันและมายาคติแบบงาช้างจะงอกจากปากหมาการปราบปรามเข่นฆ่าและใส่ร้ายป้ายสีผู้รักความยุติธรรมและ ประชาธิปไตยที่ ชุมนุมอย่างสันติได้ยืนยันข้อเท็จจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์อื่นใดอีก แล้ว

เพียง แต่นั่นไม่ควรเป็นจุดอ่อนที่มีคนบางกลุ่มเช่น แดงสยาม ซึ่งฉวยโอกาสอย่างอัปยศออกคำแถลงการณ์ด้วยท่าทีที่ประหนึ่งว่า เป็นแนวร่วม ของศัตรู ด้วยการบอกว่า แกนนำพาคนไปตายซึ่งเป็นการดูหมิ่นทั้งแกนนำและเหยียบศพมวลชนไพร่สามัญผู้เสียสละ ชีวิต

โดย ข้อเท็จจริงรูปธรรม การต่อสู้ที่อำนาจรัฐแสดงเจตนาใช้กำลังปราบปรามด้วยอาวุธทุกรูป แบบ ไม่ว่าแกนนำบางคนหรือทั้งหมดจะมีความสามารถมากเท่าใด หรือ ตัดสินใจบนพื้นฐานที่มีเหตุมีผลมากที่สุดเพียงใด ก็ไม่สามารถแปรเปลี่ยนสถานการณ์ที่ราชประสงค์ไปสู่ชัยชนะได้

6.
ความ สามารถในการต่อสู้บนพื้นที่สื่อ หรือสงครามชิงพื้นที่ข่าว ของกลุ่มผู้รักความยุติธรรมและประชาธิปไตย เป็นจุดด้อยรุนแรงที่ไม่อาจปฏิเสธได้และต้องปรับปรุงยกระดับอย่าง จริงจังใน อนาคต จะเห็นได้ชัดเจนว่า เมื่อถืงเวลาที่ชี้เป็นชี้ตาย พวกเผด็จการอำมาตย์และพันธมิตรของพวกมัน สามารถยึดกุมและปิดล้อมสื่อทุกช่องทางเพื่อประดิษฐ์ข้อมูลป้ายสี ผู้รักความ ยุติธรรมและประชาธิปไตยที่ชุมนุมโดยไม่สามารถยับยั้งหรือตอบโต้ได้ เลย

7.
แม้ การต่อสู้ครั้งนี้ จะมีมวลชนระดับไพร่สามัญหลายชนชั้น เข้ามามีส่วนร่วมในลักษณะแนวร่วมไพร่สามัญอย่างกว้างขวางกว่าครั้ง ใดๆใน ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของสังคมสยาม แต่การที่มวลชนที่เข้าร่วมส่วนใหญ่ยังเพิกเฉยหรือดูเบาต่อการจัด ตั้งกอง กำลังปกป้องตนเองขึ้นมาเพื่อป้องกันการปราบปรามเข่นฆ่าของพวก เผด็จการ อำมาตย์ โดยเพ้อฝันว่า เมื่อมวลชนลุกต่อสู้ถึงระดับหนึ่ง อาจจะสร้างแรงเหวี่ยงทางจิตสำนึกให้กลุ่มคนที่ถืออาวุธในฝ่ายอำนาจ รัฐ เปลี่ยนข้างมาต่อสู้เคียงข้างกับฝ่ายไพร่สามัญ แบบเดียวกับการเปลี่ยนแปลงในการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 หรือ การปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 ซึ่งข้อเท็จจริงได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ว่าทหารแตงโมหรือ ตำรวจมะเขือเทศล้วนแล้วแต่เป็นเพียงภาพลวงตาเท่า นั้น

กอง กำลัง (ในจำนวนนี้ ได้รวมเอาผู้ปฏิบัติงานที่เอาการเอางานของ กองกำลังรักชาติสยามเพื่อประชาธิปไตย (กช.สป.-SPADE) ซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญให้ประจักษ์กันแล้วในการ ตรึงกำลัง กับกองทหารจำนวนหลายกองร้อยได้นานหลายวันต่อเนื่องกันที่แยกถนน วิทยุ-บ่อน ไก่ และ การไล่ล่าพลซุ่มยิงสไนเปอร์ของทหารที่ลอบสังหารประชาชนไม่เลือก หน้าที่สาม แยกดินแดง ระหว่างที่มีการสังหารหมู่เกิดขึ้น) ที่เข้ามารับบทบาทในการปกป้องผู้ชุมนุมในด่านหน้าของแนวปะทะ ยินยอมเสียสละตนเองในการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ได้พิสูจน์ให้ประจักษ์แล้วว่า หากปราศจากกองกำลังเหล่านี้แล้ว ความสูญเสียของมวลชนผู้รักความยุติธรรมและประชาธิปไตยจะมากมาย หลายเท่า มิใช่แค่ 80 กว่าคนดังที่ปรากฏ เป็นการตอกย้ำว่า มวลชนที่ต้องการต่อสู้ต่อไปในอนาคต จะต้องเอาจริงเอาจังกับการจัดตั้งกองกำลังปกป้องตนเอง โดยไม่เพ้อฝันหวังยืมจมูกของผู้อื่นหายใจอย่างที่เคยเกิดขึ้น

ยกระดับเพื่อการต่อสู้ในอนาคต

บท เรียนอันล้ำค่าจากประสบการณ์อันเจ็บปวดของการต่อสู้ที่เพิ่งจบ สิ้นลงด้วยน้ำ มือของกลุ่มฆาตกรหน้าหยกเดือนพฤษภาคมที่ท่องบ่นลัทธิคลั่งเจ้าได้ตอกย้ำว่า ความยุติธรรมเสมอหน้า ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของมวลไพร่สามัญสยามนั้น จะไม่ได้มาเพราะฟ้าประทานอย่างมีต้นทุนต่ำ ตามที่เคยถูกมอมเมามายาวนานโดยคนบางพวกเด็ดขาด เพราะฟ้าซึ่งอ้างตนเป็นเจ้าของแผ่นดินนั้นได้ยืนยันชัดเจนแล้ว ว่า ประทานได้แต่การกดขี่ขูดรีด มอมเมา และปราบปรามเข่นฆ่าเท่านั้น ทางเลือกเดียวในอนาคตข้างหน้าของมวลชนสยามที่จะหลีกหนีจากการประกันชีวิตไว้กับโจรอำมหิตกระทั่งไร้สิทธิ ไร้โอกาส และถูกกีดกันจากการมีส่วนร่วมในความมั่งคั่งของสังคม คือการปฏิวัติประชาธิปไตย ช่วงชิงอำนาจจากพวกอำมาตย์ที่มีจำนวนเพียงแค่ร้อยละ 2 ของประชากรที่ผูกขาดกุมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของสังคมไว้ใน กำมือถึงร้อยละ 80 มาสู่กำมือของไพร่สามัญที่มีจำนวนถึงร้อยละ 98 ของประชากรในสังคมตราบใดที่ความอยุติธรรมยังดำรงอยู่ ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้น ยากจะมวลไพร่สามัญสยามจะหลีกหนีหรือละทิ้งการปฏิวัติได้ เสมือนดังที่มีคนโบราณเคยกล่าวเอาไว้เตือนสติว่าตราบใดที่หญ้ายังเติบโตบนผืนดิน ประชาชนจะไม่หยุดยั้งการต่อสู้

การ ปฏิวัติประชาธิปไตยที่จะบรรลุผลสำเร็จ จะต้องกระทำพร้อมกันในหลายเวที ทั้งเวทีถูกกฎหมาย พื้นที่สื่อ กึ่งถูกกฎหมาย ผิดกฏหมาย และ ทางสากล อย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อระดมสรรพกำลังผู้ที่รักความยุติธรรมเสมอหน้า ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ในด้านเศรษฐกิจ ทำการเปิดโปง คัดค้าน และเรียกร้องเพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน ในด้านการเมือง ติดอาวุธความคิด ปลุกเร้าจิตใจแห่งการต่อสู้ ยกระดับจิตสำนึกทางการเมือง การจัดตั้งของตนเองและผู้เข้าร่วมการต่อสู้ ในด้านวัฒนธรรม ปลดปล่อยจิตสำนึกจากการครอบงำของมายาคติที่เลื่อนลอยใดๆที่พวก อำมาตย์ซึ่ง เจ้าเล่ห์ประดุจสุนัขจิ้งจอก และโหดร้ายยิ่งกว่าอสุรกายประดิษฐ์สร้างขึ้นมาหลอกลวงมอมเมามวลชน โดยไม่หวาดหวั่นกับความยากลำบากหรือความรุนแรงใดๆ

เพื่อยก ระดับ ของการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเสมอหน้า และประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมในอนาคต สิ่งที่มวลชนที่เป็นไพร่สามัญต้องกระทำมีทั้งการยกระดับด้านอุดม การณ์เชิง ทฤษฎี และการจัดตั้งที่เป็นรูปธรรมพร้อมกันไปเพื่อสร้างพลังประดุจเหล็ก กล้าที่ไม่ มีวันหลอมละลาย ซึ่งมีรายละเอียดที่สรุปโดยย่อดังต่อไปนี้

ด้าน อุดมการณ์เชิงทฤษฎี จะต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ว่า ความขัดแย้งทางเศรษศาสตร์การเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของสังคม สยามที่ต้อง เอาชนะให้ได้แรกสุด เป็นความขัดแย้งหลักระหว่างชนชั้นปกครองเผด็จการอำมาตย์ กับ มวลไพร่สามัญผู้รักความยุติธรรมและประชาธิปไตย ซึ่งได้พัฒนามาถึงขั้นที่ผลักดันให้ต้องปฏิวัติประชาธิปไตยใน สงครามอันเป็น ธรรม ก้าวข้ามลัทธิคลั่งเจ้าไปให้ได้ โดยมีความขัดแย้งรองอีกสองคู่ที่ต้องแยกแยะให้เหมาะสมตาม สถานการณ์ คือ ระหว่างกลุ่มชนชั้นปกครองกลุ่มอำมาตย์(พันธมิตรข้าราชการนำโดยกอง ทัพ-ทุน อภิสิทธิ์เก่า ที่หนุนหลังโดยราชสำนัก) กับกลุ่มทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นกลุ่มทุนใหม่ และ ระหว่างประชาชนด้วยกันเอง แสดงออกด้วยสัญลักษณ์ และรูปธรรม ผ่านกลุ่มคนเสื้อเหลืองและแดง

ด้านการจัดตั้ง ภายใต้สถานการณ์ที่พลังฝ่ายประชาชนที่เป็นไพร่ส่ามัญยังตกเป็น รองกลุ่ม อำมาตย์หลายเท่า แต่ความตื่นตัวได้พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงและแผ่ขยายเป็นจิตสำนึกร่วม ที่ใหญ่ หลวง มีแต่การจัดตั้งที่เหมาะสมเท่านั้นจึงจะมีส่วนให้สามารถช่วงชิงไป บรรลุ ยุทธศาสตร์ของการต่อสู้ที่ยังต้องใช้เวลาอย่างเป็นจริง

ใน ยามที่ พลังผู้รักประชาธิปไตยยังอยู่ในสภาพเป็นรองอย่างปัจจุบัน มีแต่หนทางการต่อสู้ อย่างเบ็ดเสร็จโดยไม่จำกัดรูปที่รูปแบบหนึ่งแบบใดรวมหมด5 เวที ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่เป็นเอกภาพ และยุทธวิธีที่กระจายศูนย์อย่างพลิกแพลงจากสถานการณ์รูปธรรม โดยศึกษารูปแบบการต่อสู้ที่ผสมผสานระหว่างการต่อสู้ของประชาชนใน นิคารากัว เนปาล เวียดนาม และ 3 จังหวัดภาคใต้ เพื่อประยุกต์สูตรของการต่อสู้ใหม่ แทนที่การติดยึดกับการต่อสู้รูปแบบใดแบบตายตัว หรือ ตามสูตรเดิมแบบกลไกที่พ้นสมัยไปแล้ว การต่อสู้ทั้ง 5 เวทีประกอบด้วย

การ ต่อสู้แบบถูกกฎหมายในเวทีรัฐสภา จะต้องดำเนินต่อไป เพื่อชี้ให้เห็นความสำคัญของอุดมการณ์ประชาธิปไตย ไม่ยอมให้อำนาจเผด็จการเข้ามาสร้างสร้างทางตัน เพื่อลิดรอนเสรีภาพของปวงชนโดยอาศัยความชอบธรรมของกติกาที่ผิดจาก คลองธรรม ของนิติรัฐ
การต่อสู้บนเวทีท้องถนน จะต้องดำเนินการต่อไป เพื่อเพิ่มแรงกดดันมิให้ศัตรูของประชาธิปไตยลอยนวลได้โดยอ้างถึง ความชอบธรรม ที่ไร้เหตุผลในการปล้นชิงประชาธิปไตยจากปวงชน
การต่อสู้ในเวที สื่อ มวลชน หรือ สงครามชิงพื้นที่ข่าว จะต้องศึกษาการต่อสู้ทางด้านสื่อของขบวนการโซลิดาริตี้ของโปแลนด์ เพื่อประยุกต์สู่การยกระดับให้มีช่องทางใหม่ และมีคุณภาพรับมือกับการอำนาจเผด็จการในยามสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน
การ ต่อสู้ในเวทีสากล จะต้องขยายผลในระดับกว้างและลึก สร้างมิตรที่แน่นแฟ้นและยั่งยืนในระดับเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ และระดับรัฐ เพื่อชี้ให้เห็นความไม่ชอบธรรม และเพื่อขยายผลการต่อสู้กับอำนาจรัฐใต้กำมืออำมาตย์ที่ฉ้อฉล
การ ต่อสู้ด้วยกองกำลังของตนเอง เพื่อป้องกันตัวและเคลื่อนไหวสนับสนุนยุทธศาสตร์หลักและการต่อสู้ ในเวที อื่นๆ เพื่อทำให้พวกอำมาตย์ลังเลใจในการใช้กำลังอาวุธและความรุนแรงปราบ ปราม ประชาชน โดยกองกำลังที่จัดตั้งขึ้นและพึ่งพาตนเองนี้ ต้องไม่มีความโน้มเอียงไปสู่หลุมพรางของการใช้มาตรการมุ่งเอาชนะ ทางทหารเป็น หลัก แต่จะต้องมีไว้เพื่อสนองตอบยุทธศาสตร์รุกทางการเมืองและเอาชนะทาง การเมือง ของการต่อสู้เป็นสำคัญ

มีแต่ 5 เวทีของการต่อสู้พร้อมกันที่เป็นจริงเช่นนี้เท่านั้น พลังของผู้รักประชาธิปไตยจึงจะเติบใหญ่ขึ้นท่ามกลางสงครามทางชน ชั้นที่เข้ม ข้น เพื่อดำเนินการรุกทางการเมือง และไปเอาชนะทางการเมืองในที่สุด

การ รุกทางการเมือง คืออะไร?

การ รุกทางการเมือง คือ ชุดของยุทธวิธีเพื่อปลุกระดมจิตสำนึกของมวลชน สร้างความปั่นป่วนให้ศัตรู การโฆษณาจูงใจ การล้มล้างความน่าเชื่อถือและความชอบธรรมของอำนาจรัฐ การกัดกร่อนความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ การโจมตีด้วยกำลังอาวุธ การลุกฮือและประท้วง การเจรจาเพื่อหาทางออก และปฏิบัติรูปแบบอื่นๆ

การ เอาชนะทางการเมือง คืออะไร?

การ เอาชนะทางการเมือง คือ การลดขวัญกำลังใจของศัตรู ทำให้ศัตรูไม่กล้าปราบปรามกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวในทุกเวทีและทุกระ ดับ ทำให้ศัตรูจำต้องเปลี่ยนไปสู่เกมเล่นที่ไม่ถนัด บีบให้ศัตรูต้องยอมรับเงื่อนไขบางประการที่เราเสนอ และเปลี่ยนฐานะจากการตั้งรับทางการเมืองของฝ่ายเราเป็นการรุกทาง การเมืองต่อ ศัตรู

รู้จักกับ ขช.สป. และ กช.สป.

หนึ่งในทางเลือกที่ มวลมหาประชาชนสยามที่รักความยุติธรรม และประชาธิปไตย สามารถเลือกที่จะเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อทวงคืนความยุติธรรมเสมอ หน้า ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมอย่างมีพลัง ก็คือ การเข้าเป็นสมาชิกหรือแนวร่วมของ ขบวนการรักชาติสยามเพื่อสิทธิเสรีภาพและการเปลี่ยนแปลงสังคมใหม่ (ขช.สป.-SPARTAN) ซึ่งเป็นองค์กรชี้นำ และ/หรือ เข้าเป็นส่วนหนึ่งในผู้ปฏิบัติงานของกองทัพรักชาติสยามเพื่อประชาธิปไตย(กช. สป.-SPADE) ที่จัดตั้งกันขึ้นเมื่อกลางปี พ.ศ.2552 โดยได้มีการประมวล วิเคราะห์ และสรุป ผ่านการร่วมต่อสู้ วิพากษ์ และพัฒนามาต่อเนื่อง จนสามารถสรุปออกมาเป็นแนวนโยบายหลักของขบวนการและกองทัพ ดังสังเขปต่อไปนี้

1)
ร่วม มือเพื่อต่อสู้และสถาปนารัฐประชาธิปไตยพหุนิยมจากเบื้องล่าง ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกสังคมทุกชนชั้น ชาติพันธุ์ อาชีพ และ วัฒนธรรม เข้ามีส่วนร่วมทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยหลักการเสมอภาคทางการเมืองและสังคม พร้อมกับสร้างหลักประกันรับรองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมือง ทุกระดับ ภายใต้กรอบสัญญาประชาคม และนิติธรรม เพื่อให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมเปิดมีวัฒนธรรมประชาธิปไตย โปร่งใส เสมอภาค และกระตุ้นศักยภาพเชิงสร้างสรรค์ของพลเมืองทุกคน

2)
สามัคคี กับผู้ รักความยุติธรรมและประชาธิปไตยทุกกลุ่มบนหลักการ แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่างในรูปแนวร่วมไพร่สามัญ ( ตามคติพื้นบ้านโบราณของภาคเหนือและอีสานเรื่องไพร่สู้แถน”) โดยไม่สร้างเงื่อนไขบังคับให้กลุ่มที่เข้าร่วมขบวนยอมรับการนำ ฝ่ายเดียว ดำเนินการรุกทางการเมืองเพื่อสร้างเงื่อนไขที่เหมาะสมไปเอาชนะทาง การเมือง โค่นอำนาจรัฐเผด็จการของกลุ่มอำมาตย์ เพื่อเป้าหมายสู่ประชาธิปไตยที่กินได้ของมวลมหาประชาชน

3)
ระดม สรรพกำลัง ร่วมมือ และสนับสนุนให้มวลชนเคลื่อนไหว จัดตั้ง องค์กรมวลชนผู้รักประชาธิปไตย เพื่อใช้การเคลื่อนไหวทุกรูปแบบที่เป็นรูปธรรม ทั้ง ถูกกฏหมาย กึ่งถูก กฏหมาย พื้นที่สื่อ ทางสากล และกองกำลังปกป้องตนเอง เพื่อปฏิวัติประชาธิปไตย ในลักษณะแนวร่วมไพร่สามัญ ยกระดับการต่อสู้จากปริมาณสู่คุณภาพ ผ่านฉันทามติร่วม

4)
มุ่ง สร้างอำนาจรัฐใหม่ที่ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและยั่งยืน บนหลักการเสมอภาคตามผลงาน ที่นอกจากปลดปล่อยพลังการผลิตให้สามารถแข่งขันได้แล้ว ยังมีความรับผิดชอบในการกระจายความมั่งคั่งผ่านระบบจัดเก็บภาษี ที่เป็นธรรม ยกระดับมาตรฐานของคุณภาพชีวิตของมวลชนผู้ทำการผลิต ลดช่องว่างทางชนชั้น และลดการผูกขาดตัดตอนของทุนอภิสิทธิ์ ทั้งจากภายในและภายนอก โดยแบ่งแยกระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินออกเป็นทรัพย์สินของรัฐ ทรัพย์สินสาธารณะ และทรัพย์สินเอกชนอย่างชัดเจน

5)
มุ่งแสวงหา มิตรและการสนับสนุนทางสากลในรูปแบบการเคลื่อนไหวแบบ ในประสานนอกเพื่อให้การต่อสู้บรรลุจุด มุ่งหมาย ภายใต้หลักการชาติที่เท่าเทียมในเวทีโลกไม่สร้างเงื่อนไขที่ผูกมัดให้เกิดการครอบ งำ ของต่างชาติทุกด้านในอนาคต ทั้งนี้ ต้องสร้างความมั่นใจให้ประชาคมโลกตระหนักว่า การสถาปนาอำนาจรัฐใหม่ของปวงชนนี้ พร้อมจะยอมรับข้อตกลงหรือสนธิสัญญาเสมอภาคในระดับพหุภาคี ที่ได้กระทำมาในรัฐบาลก่อนหน้า เพื่อรักษาดุลทางภูมิศาสตร์การเมืองให้เหมาะสม เว้นแต่ในกรณีข้อตกลงหรือสนธิสัญญาไม่เสมอภาค หรือ ที่ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของมวลชนชาวสยามส่วนในระดับทวิภาคีจะต้อง มีการทบทวน เพื่อเจรจาปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์

แปร ความคับแค้นและความเจ็บปวดให้เป็นพลังและปัญญาเพื่อยกระดับสู่การ ปฏิวัติ ประชาธิปไตย คือ ทิศทางและภารกิจในปัจจุบันของผู้รักความยุติธรรมและประชาธิปไตยชาวสยาม

เหตุ แห่งความกล้าหาญ



โดย จักรภพ เพ็ญแข


อะไรหรือที่ทำให้พี่น้องประชาชนมือ เปล่าๆ วิ่งเข้าไปหาปืนด้วยความกล้าหาญมุ่งมั่น และด้วยสติอย่างสมบูรณ์?

นี่คือสิ่งที่ผมครุ่นคิดมาตลอดตั้งแต่คืนวันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงการปะทะรุนแรงในเดือนพฤษภาคม คิดไปก็ทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อช่วยชีวิตและจิตใจของพี่น้องหลายล้าน ในฐานะที่คนพลัดบ้านพลัดเมืองคนหนึ่งจะกระทำได้

แล้วผมก็พบความงาม บางอย่างวาบแสงขึ้นในความมืดมิดของระบอบโบราณที่ยังครอบงำไทย

ยังจำ ได้ไหมว่า พันเอกอัคร ทิพย์โรจน์ เป็นตัวแทนของฝ่ายเผด็จการรับจ้างของระบอบไทยสมัย คมช. ออกมากล่าวาจาสามหาวใส่ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ คนขับแท็กซี่ เข้าชนรถถังจนตัวบาดเจ็บสาหัสว่า แก่ บ้า และลงท้ายด้วยการหมิ่นน้ำใจว่าไม่มีคนไทยที่ไหนจะยอมตายเพื่อประชาธิปไตย หรอก

จนสุดท้ายก็ได้ชีวิตทั้งชีวิตของลุงนวมทองมาพลีพิสูจน์ว่าใคร คือมนุษย์และใครมีศักดิ์เพียงสัตว์เดรัจฉาน

หากเทพมีจริง วันนี้เทพนวมทองท่านคงกำลังมองลงมายังพื้นดินด้วยความปลื้มใจว่าคนไทยอีกนับ จำนวนไม่ถ้วนก็พร้อมพลีชีพเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยในบ้านเมืองเช่นเดียว กัน ถึงจะรู้สึกห่วงใยทุกๆ ชีวิตและไม่ต้องการให้พลีชีพโดยไม่จำเป็นแม้แต่หนึ่งเดียวก็ตาม

ผม มั่นใจว่า ความกล้าหาญที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในคราวนี้ คือผลการยกระดับความคิด และทัศนะของผู้เป็นพลเมืองที่ถูกเหยียดหยามให้เป็นไพร่ใต้ตีนมานานหลาย ศตวรรษ

ใครคิดว่ามวลชนเหล่านี้ยอมเสี่ยงชีวิตเพียงแค่การยุบสภาผู้ แทนราษฎรและเพื่อกำจัดคนไร้ค่าอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงต้องคิดใหม่

เป้าหมายแค่นั้นเอาอเวไนยสัตว์มาตายแทนยังไม่คุ้ม

พวก เราวิ่งเข้าหาปืนใส่กระสุนจริง ท้าความตายอยู่กลางถนน เพราะรู้ว่าถ้าเขาวิ่งไปได้ถึงฐานที่มั่นของเจ้าของระบอบอันเลวร้ายเมื่อ ไหร่ ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกกดทับทำลายมานานปี ก็จะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระและได้เติบโตตามธรรมชาติ ส่งผลให้ชีวิตของเขาและคนรุ่นต่อไปดีขึ้น

โดยเฉพาะศักดิ์ศรีแห่ง ความเป็นมนุษย์นั้นดีขึ้นแน่ ยืนยันได้จากตัวอย่างที่ชัดเจนในยุครัฐบาลประชาธิปไตยแท้ๆ ระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๔-๒๕๔๙ ในเวลาเพียงหกปีเห็นหน้าเห็นหลัง ประชาชนผู้ไร้เส้นสายรู้สึกมีชีวิตชีวา มีความหวัง และรู้สึกว่าบ้านเมืองสูงขึ้นเยอะ

เขาก็จำได้หมายรู้มาตั้งแต่บัด นั้นว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่ของเล่นหรูหราของนักวิชาการหรือเจ้าทฤษฎีที่ไหน แต่เป็นของมีค่าที่เขาจับต้องได้จริง

เขาไม่เคยต่อสู้ขนาดนี้มาใน อดีต ก็เพราะอดีตไม่ควรค่าแก่การต่อสู้ของเขา

แม้แต่ลัทธิ คอมมิวนิสต์ที่จัดตั้งมวลชนในกว้างขวางและลึกซึ้งที่สุดรองลงไปจากระบอบ ศักดินา ก็ยังไม่สามารถสร้างเป้าหมายที่ประชาชนคนสามัญเห็นคุณค่าและพร้อมพลีชีพได้ ถึงขนาดนี้

พยายามพูดใส่ความกันเหลือเกินว่านี่คือความ ตั้งใจที่จะสร้างระบอบทักษิณ

คนที่ชิงชังคุณทักษิณด้วย ความเข้าใจคลาดเคลื่อนบ้าง ด้วยความยึดมั่นถือมั่นจนไม่ดูข้อเท็จจริงบ้าง หรือหมั่นไส้ริษยาบ้าง ก็เซ็งแซ่กันว่าประชาชนเหล่านี้สงสัยจะเป็นทาสของคุณทักษิณ

พูด จนลืมไปว่าคนพูดที่มีโซ่ล่ามอยู่รอบคอ ร้องเพลงกันเองแล้วก็น้ำตาไหลกันเอง ปรุงแต่งกันอยู่แถวนั้น เป็นทาสของใคร และลืมหูลืมตาขึ้นหรือไม่

คนที่วิ่งเข้าไปหาปืนและความตายเหล่านี้ล้วนไม่รู้จักคุณทักษิณ ไม่เคยเห็นตัวจริงไม่เคยได้สัมผัส ไม่เคยได้รับประโยชน์ใดๆ จากคุณทักษิณเลยแม้แต่น้อย เขาคงไม่ได้คิดถึงคุณทักษิณในขณะพลีชีพ

บาง ท่านอาจจะอธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ แต่ผมเชื่อมั่นว่าท่านเหล่านี้วิ่งเข้าไปด้วยความพิเศษบางอย่างในสมองและ ระบบความคิด เรียกได้อย่างหนึ่งว่า แนวทาง

เหมือนแดงสยามเสนอแนวทาง ปฏิวัติประชาธิปไตยในขั้นต่อไป โดยไม่ได้เสนอตัวเป็นกลุ่มก้อนหรือเป็นผู้นำการเมืองในเวทีไหนหรือพรรคใดๆ เลย

แนวทางคือกรอบความคิดใหญ่ที่เราใช้เป็นฐานในการวางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และกิจกรรมเพื่อให้เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแท้ มีลักษณะเป็นนามธรรม แต่ส่งผลสำคัญและมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อวิธีการต่อสู้อย่างเป็นรูปธรรมของ ฝ่ายประชาธิปไตย

ไม่ว่าใครจะรับแนวทางจากคำปราศรัยบนเวทีราชประสงค์ ผ่านฟ้า สนามหลวงหรือที่อื่นๆ ไม่ว่าใครจะได้อ่านเอกสาร หนังสือ แผ่นซีดี ข้อมูลจากเว็บไซต์ หรือใครมีโอกาสเข้าร่วมเสวนากับกลุ่มใดๆ จนเกิดการปรับทัศนะ เปลี่ยนแปลงจากความล้าหลังและความไม่รู้ร้อนหนาว จนเป็นความห่วงใยบ้านเมืองอย่างที่เรียกว่าก้าวหน้านั้น ถือว่าใช้ได้หมด

ใครยังเหลือธาตุแห่งความดูแคลนประชาชนอยู่ในใจ ผมท้าให้ไปนั่งคุยกับคุณยายคุณป้าคุณลุงคุณอาที่มาร่วมชุมนมสักสิบนาที แล้วจะตื่นอย่างรวดเร็วว่าคนที่มาร่วมชุมนุมในฝ่ายประชาธิปไตยนั้นไม่อาจจะ เป็นทาสใครได้เลย เขาต่างมีความคิดเห็นทางการเมืองที่ก้าวหน้าและชัดเจน จนวันนี้ปรับสภาพจนใกล้จะเป็นการลุกขึ้นสู้อยู่รอมร่อแล้ว

คนจนที่ ได้รับการศึกษาตามระบบมาน้อยในวันนี้ ส่วนใหญ่มีจิตวิญญาณการเมืองและสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์ ดีกว่าชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่ยอมตัวเป็นไพร่ใต้ตีนคนอื่น ผู้อุตส่าห์หาเหตุผลที่ฟังเผินๆ ก็ไพเราะมาอธิบายความล้าหลังและความเป็นทาสอย่างโงหัวไม่ขึ้นของตัวเอง เพียงเพราะในใจเต็มไปด้วยความอ่อนแอจนพึ่งตัวเองไม่เป็น

ของแบบนี้ มีตัวอย่างอยู่เสมอ

ศิลปิน ดารา นักร้อง สื่อมวลชนที่ประกาศจุดยืนต่อต้านฝ่ายประชาธิปไตย ไม่มีความกล้าหาญและบกพร่องในความเป็นมนุษย์อยู่มาก เพราะคนเหล่านี้อยู่ในระบบอุปถัมภ์ตั้งแต่หัวถึงตีน ได้ดีมาก็เพราะเอาตีนคนอื่นคุ้มกบาลตัวเองมาตลอดชีวิตที่ไร้ค่า

ศิลปะของคนเหล่านี้จึงมักแปดเปื้อนไปด้วยมลทิน ไร้ความบริสุทธิ์ แค่จะเปิดละครกันสักเรื่องก็ต้องอาศัยเดรัจฉานวิชามาคุ้มตัวกลัวเจ๊ง ทั้งที่อาศัยพุทธธรรมอย่างเดียวก็เหลือจะพอ

คนที่ยอมตัวอยู่ใต้อำนาจ คนอื่น มักจะเห็นว่าระบบอุปถัมภ์นั้นดีวิเศษ เห็นอำนาจที่กดหัวของตัวอยู่เป็นบุพการีของตนไปหมดอย่างน่าเวทนา

แต่ คุณค่าของผู้หลงผิดเหล่านี้คือช่วยเปรียบเทียบและทำให้วีรกรรมของฝ่าย ประชาธิปไตยมลังเมลืองขึ้นมาก

ถ้าไม่มีไพร่ใต้ตีน ก็ไม่รู้ว่าเทพนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร

อยากรู้ก็ส่องกระจกดู ครับ.

----------------------------------

‘มือ ปืน’ กับ ‘สไน เปอร์’ ของคู่ประเทศไทย-วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

ซมมวล โคลท์ (Samuel Colt) ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งปืนลูกโม่" ได้กล่าวถ้อยคำที่ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ของวงการปืนเอาไว้ว่า
“Be not afraid of any man no matter what his size; when danger threatens, call on me, and I will equalize.”
แปลเป็นสำนวนทื่อๆ ก็ได้ว่า
อย่าไปกลัวไอ้มนุษย์หน้าไหน ไม่ว่ามันจะตัวใหญ่โต บิ๊กเบิ้มสักแค่ไหน เมื่ออันตรายมาคุกคามคุณ ก็จงเรียกใช้ผมเถอะ แล้วผมจะทำให้มันสมดุลเอง
ปืนที่ใช้ระบบลูกโม่ จากการค้นคิดของแซมมวล โคลท์ ทำให้การยิงง่ายขึ้น ไม่มีปัญหาระหว่างการยิง เพราะหากลูกกระสุนด้าน เมื่อเหนี่ยวไกต่อ ลูกโม่ก็จะพลิก และนำกระสุนใหม่ถัดไปขึ้นอยู่ในตำแหน่งรังเพลิง พร้อมสำหรับการยิงนัดต่อไป โดยไม่ต้องกังวลกับการคัดกระสุน ที่ใช้การไม่ได้แล้ว ออกไปเสียก่อน
ปืนลูกโม่ของคุณทวดแซมมวล โคลท์ นั้น คว่ำคนที่ตัวโตก
ว่าได้ชะงัดนัก แกจึงโอ่ถึงนวัตกรรมใหม่ของตัวเอง (ในยุคนั้น) ว่า เป็นการปรับสมดุลให้ผู้ที่มีร่างกายเล็ก สามารถขึ้นไปวัดดวง หรือจัดการกับคนตัวใหญ่กว่าได้อย่างง่ายดาย เพียงเหนี่ยวไกปืนลูกโม่ของคุณทวดเท่านั้น
อาวุธปืนนั้น นอกจากเป็น เครื่องทุ่นแรง ในการป้องกันตนเองแล้ว ยังสามารถนำไปไปเป็นยมทูต ใช้สังหารผู้อื่นได้ไม่ยากเย็น ถ้าหากคนที่ถือปืนอยู่ ขาดความยับยั้งชั่งใจ ก็หันมาเลือกใช้มันเป็นเครื่องทุ่นแรง ในการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างกัน แทนการใช้กฎหมาย และเพราะอานุภาพของปืนนี่แหละ มีหลายคนที่เห็นช่องทางหาเงิน จากการรับขจัดความขัดแย้ง โดยรับเป็นผู้ลงมือแทนคู่กรณี อาสาปลิดชีวิตฝ่ายตรงข้ามให้ ทั้งนี้มีการเรียกรับผลประโยชน์เป็นตัวเงิน เป็นค่าตอบแทน ซึ่งเป็นการรับจ้างอย่างหนึ่ง เราจึงเรียกคนพวกนี้ว่ามือปืนรับจ้าง หรือเรียกกันโดยย่อว่า
มือปืน

มีการศึกษาวิจัยเรื่อง มือ ปืน ในสถาบันต่างๆ เช่นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง ในมหาวิทยาลัยต่างๆ แม้กระทั่งในสถานศึกษาชั้นสูง อย่างวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (ว.ป.อ.) ก็ยังมีการทำวิทยานิพนธ์เรื่องเกี่ยวกับ มือปืนด้วย แสดงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ เรื่องเล็กเสียแล้ว

เมื่อปี พ.ศ.2549 ผมได้ยินนักศึกษาปริญญาโทสตรีคนหนึ่ง (ไม่ทันได้ฟังชื่อของเธอ) ให้สัมภาษณ์วิทยุ การทำวิทยานิพนธ์ของเธอเรื่องมือปืน โดยหาข้อมูลจากผู้ถูกตัดสินให้ลงโทษจำคุก เธอผู้นี้บอกว่า
จากการศึกษาพบว่าสาเหตุคนกลายมา เป็นมือปืนที่สำคัญก็คือเรื่องเงินเป็นหลักนั่นเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่รู้กันมานมนานแล้ว แต่คนที่หันเข้ามาวงจรนี้ เมื่อกระทำความผิดแล้วยังไม่ถูกจับก็ย่ามใจ
จนเมื่อต้องติดคุกนั่นแหละ จึงจะสำนึกได้!
ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนนั้น เรื่องของ มือปืนเมืองไทย นั้น ยังไม่หมดลงง่ายๆ เพราะยังมีคนยังยากจนอยู่ และ
ผู้นิยมแก้ปัญหา ด้วยความรุนแรงนั้น ก็มิได้หมดไปจากสังคม เราจึงเห็นบางหมู่บ้าน ผู้คนนิยมการเป็น มือปืนกันเกือบทั้งหมู่ แถมยังมีการผ่องถ่ายประสบการณ์ให้แก่กัน ตั้งแต่รุ่นพ่อ อา น้า มาถึงชั้นลูกและหลาน
อย่างไรก็ตาม มันก็มีคนที่เกิดมาในโลก โดยพ่อแม่ของตัวก็ไม่เคยประกอบกรรมชั่ว แต่เจ้าตัวกลับเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ฆ่าคนอื่นได้ ทั้งๆที่ไม่มีสาเหตุโกรธเคือง หรือยังไม่ทันจะถูกจ้างวานเลยก็มี
จะขอเล่า ให้ท่านผู้อ่านฟังสักเรื่อง

เจ้าของร้านอาหารชื่อดังภาคเหนือตอนล่าง จะกำจัดคู่แข่งทางการค้า แต่ด้วยความที่เป็นคนขี้เหนียว เขาไปจ้างเด็กอายุไม่ถึงสิบห้าที่คนบอกว่า ใจ ถึง มารับงานฆ่าคน
ระหว่างนั่งรถกันมา ผู้ว่าจ้างซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า เด็กขนาดนี้จะทำงานเป็นมือสังหารได้หรือไม่ จึงถามเยาวชนที่รับจ้างฆ่าคนว่า
ใจถึงและกล้ายิงคนจริงๆหรือ?
เด็กที่กำลังจะกลายเป็น มือปืนบอกเรียบๆว่า
เอาปืนมา ผมจะยิงให้ดู!
คนจ้างส่งปืนพกสั้นให้ เด็กจึงบอกให้จอดรถ ขณะนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกจากตรอก เพื่อขึ้นรถที่ถนนใหญ่ และไปทำงานตามปกติ เด็กคนนี้เปิดประตูรถลงไป เอาปืนยิงเปรี้ยงๆไป 2 นัด ชายผู้เคราะห์ร้ายถึงแก่ความตาย ไอ้คนยิงเดินกลับมาขึ้นรถ
หน้า เฉยตาเฉย!
กว่าตำรวจจับมือปืนเยาวชนรายนี้ได้ เวลาล่วงสองถึงสามปี ซึ่งเจ้าตัวถูกจับได้ในคดีอื่น รับสารภาพในคดีที่ถูกจับ แต่ดันยอมรับการกระทำผิดอื่นๆของตัวเอง จนกระทั่งโยงมาถึงคดีแรก คือยิงคนโชว์ผู้ว่าจ้าง
นายตำรวจคนสอบสวนตะลึง ถึงกับยกมือลูบอกตัวเอง พูดออกมาว่า
ทำไมมึงถึงอำมหิต อย่างนี้ก็ไม่รู้!!
เหมือนลูกยักษ์ ลูกมารมาเกิดจริงๆ!!!

ตั้งแต่กรุงเทพฯ เกิดเหตุวุ่นวาย ตลอดเดือน เม.ย.และ พ.ค.2553 ยุครัฐบาลนายมาร์ค มุกควาย (หรือฉายาใหม่นายมาร์ค
ร้อยศพ”)
มีคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการยิงกัน ฆ่าฟันกัน ทั้งการฆ่าซึ่งๆหน้าและการลอบฆ่า แถมยังมีเรื่องอาวุธปืน นักแม่นปืน พลซุ่มยิง การซุ่มยิงฯลฯ เข้ามาเกี่ยวข้องอีรุงตุงนัง จนกลายเป็นหัวข้อทำให้ทั้งสื่อรวมทั้งชาวบ้าน วิพากษ์วิจารณ์และพูดกันอย่างกว้างขวาง
นอกจากนั้น ก็ยังมีการออกข่าวทั้งของรัฐบาล ทหาร และฝ่ายผู้ชุมนุม ต่างพยายามโยนกลองความผิดให้แก่กันและกัน จนวุ่นวายไปหมด
ประชาชน อย่างเราๆท่านๆ ฟังแล้วงง เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายไหนให้ข่าวจริง หรือฝ่ายไหนกันแน่...
...ที่ตอแหล...ไม่หยุด!

ดังนั้น ในฐานะที่ตัวผู้เขียนเองเคยฝึกอบรมมา และเป็นครูผู้ฝึกในเรื่องการต่อต้านการก่อการร้าย ทั้งในและต่างประเทศ ต้องขออธิบายคำซึ่งมีความหมายที่ใกล้เคียง แต่แตกต่างกันมากคือคำว่า นักแม่นปืน และ พลซุ่มยิง ให้พอเข้าใจถึงความแตกต่าง ดังนี้
นักแม่นปืน นั้น ภาษาอังกฤษเรียกว่า Sharp Shooter พวกนี้ยิงเป้าเก่ง มีหลายชั้น ไล่มาตามลำดับความสมารถในการใช้มือ อย่างสถาบันตำรวจสหรัฐ ก็มักจะกำหนดไว้ตั้งแต่ชั้นแรกคือ Marksmanship, สูงขึ้นไปก็เป็นระดับ Sharpshooter, Expert และชั้นสูงสุดระดับครูฝึกก็คือ Master
ส่วน พลซุ่มยิง ที่เรียกว่า Sniper นั้น พวกนี้เป็นมีหน้าที่ลอบยิง มีความสามารถยิงได้ทั้งเป้าหมายที่เป็นข้าศึก โดย
ไม่เลือกว่าเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ หรือเด็ก แม้แต่ทารก
คนพวกนี้ต้องยิงให้ได้ทั้งหมด ไม่เลือกเป้าหมายว่าเป็นคนหรือเป็นใคร เพียงเพื่อให้บรรลุภารกิจ ที่ตนเองได้รับการบรรจุมอบเท่านั้น
ดังนั้น Sniper จึงเป็นผู้มีคุณสมบัติพิเศษ เพราะในหมู่นักแม่นปืนจำนวน 100 คน บางครั้งยังหา Sniper หรือพลซุ่มยิง
ไม่ได้สักคน!


ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง Enemy at the Gates ซึ่งเป็นเรื่องชีวิตของทหารตัวเล็กๆ ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
ที่กลาย เป็นวีรบุรุษชาวรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียงเรียงนามเป็นที่ปรากฏว่า
วาสสิลี ไซท์เซฟ (Vassily Zaitzev)
เขาคนนี้เป็นเพียงทหารเกณฑ์เข้ามาสู่สมรภูมิ ต่อมามีตำแหน่งพลซุ่มยิง (Jude Law นำแสดง) และได้สร้างความ
เกรงกลัว และความเสียหายให้กับฝ่ายเยอรมันอย่างเอกอุ ในการป้องกันเมืองสตาลินกราด ที่เยอรมันเป็นฝ่ายรุกเข้าตีด้วยกำลังพลมหาศาลอย่างรุนแรง ทั้งทางบกและอากาศ แต่กองทัพรัสเซียและพลเมืองของเขา ต้านทานด้วยการตั้งรับอย่างเด็ดเดี่ยว
วาสสิลี ไซท์เซฟ จากนายพรานป่าธรรมดา แต่เป็นพลซุ่มยิงโดยกำเนิด กลายเป็นรัสเซียที่เขย่าขวัญทหารเยอรมัน จนทางกองทัพนาซี ต้องส่งนายทหารระดับพระกาฬ ที่เชี่ยวชาญและเป็นครูฝึกทางการซุ่มยิง คือนายพันตรี โคนิค (Koenig) มาปราบโดยเฉพาะ แต่ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบ และโดน วาสสิลี ไซท์เซฟ เด็ดหัวเอาชีวิตเสียอีก พรานป่าอย่างเขากลายเป็นวีรบุรุษของรัสเซีย ที่มีชื่อเสียงจากการต่อสู้
เพื่อปกป้องมาตุภูมิ ของตนเอง!

พลซุ่มยิงที่มีชื่อเสียง ในการปกป้องแผ่นดินแม่ หรือมาตุภูมิของตนเองก็ยังมีอีก เช่น
ไซ โม ไฮยาช (Simo Hayha) คนนี้เป็นตำนานของฟินแลนด์ เขาเด็ดชีวิตทหารรัสเซียที่รุกรานฟินแลนด์ ลงไปถึง 542 ศพ แต่เขาก็โชคไม่ดีตรงที่ถูกยิงสวนเข้ากราม จนกรามหายไปแถบหนึ่ง ใบหน้าจึงบิดเบี้ยวจนเสียรูปทรงไป
ทหารอเมริกันที่มีชื่อเสียง ในการเป็นพลซุ่มยิงก็มี แต่ดันไปยิงเก่งในเวียตนาม ที่ไม่ได้เป็นสงครามเพื่อป้องกันมาตุภูมิของตน แต่โลกเขามองว่า ไปรุกรานบ้านอื่นเมืองอื่น จึงไม่ขอกล่าวถึง

ส่วนพวกมือปืน หรือที่ฝรั่งที่เรียกว่า Hit Man นั้น คนพวกนี้ไม่จำเป็นต้องยิงปืนแม่น เพียงแต่มีความกล้าฆ่าคน และฆ่าโดยรับค่าจ้างเป็นเงินนั้น ปัจจุบันเมืองไทยก็มีคนจำพวกนี้อยู่เยอะแยะ ขณะนี้ทางกองปราบปรามออกหมายจับ มีจำนวนหลายสิบคน รวมกับสถานีตำรวจทั่วประเทศ ก็มีจำนวนเกินร้อยคนเข้าไปแล้ว
จึงอยากให้ตำรวจทุกหน่วย ร่วมมือกันปราบปรามอย่างไม่ลดละ และต้องร้องขอให้ประชาชนคนไทย มีส่วนเหลือทางราชการ โดยให้เบาะแสคนร้ายกับทางการ
หากท่านไม่กล้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือกลัวผลร้ายจะเกิดกับตัว จะใช้วิธีการโทรแจ้ง หรือเขียนจดหมายไม่ลงชื่อไปบอกก็ได้ เท่านี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อทางราชการมากแล้ว
มือปืนไทยแลนด์นั้น เป็นภัยต่อสังคม ปล่อยเอาไว้รกแผ่นดินไม่ได้
เราต้อง กวาดให้เกลี้ยง!

นักศึกษาหญิงผู้ทำปริญญาโท ซึ่งได้ทำการวิจัยเรื่องมือปืน ได้เล่าให้ฟังต่อทางวิทยุว่า
พวกมือปืนอาชีพซึ่งนักศึกษาผู้นี้เธอไปสัมภาษณ์ เพื่อประกอบรายงานการวิจัย เธอให้รายละเอียดว่า
พวกเขา (มือปืน) ยึดหลักประจำใจว่า จะไม่ฆ่า พระ ผู้หญิง และเด็ก
ผมซึ่งฟังอยู่ นึกคันปาก อยากจะบอกกับเธอว่า...
อย่าได้ไปหลงเชื่อเด็ดขาดเชียวนะ เพราะขนาดพระสงฆ์องค์เจ้า ครูสอนศาสนา มันก็ยังยิงทิ้งเสียหลายรูป/คนแล้ว รายที่ดังหน่อยดูเหมือนจะเป็น เจ้าอาวาสวัดกู้นี่แหละ ไอ้คนยิงมันทมิฬ
หินชาติ ไม่น้อย เพราะ
จ่อยิงเอาดื้อๆเลย!
ดังนั้น อย่าไปหลงคารมว่ามันจะไม่ยิงพระ ฟังเอาไว้เป็นข้อมูลพอได้ ขนาดเพลงร้องของพงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ชื่อเพลงมือปืนเขายังร้องบอก ว่า

“...ฟางเส้นสุดท้าย ตอนตะวันบ่ายคล้อยลงมา
นายสั่งให้ลงมือฆ่า เด็กตาดำๆ...

เห็นความโหด ไหมล่ะ!?

การยิงคนนั้น อาจไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนักหนา แต่เมื่อยิงเสร็จแล้ว ส่วนที่ยากและใหญ่กว่า ก็คือ การหลบหนีซึ่งเริ่มตั้งแต่หลบให้ รอดออกจากที่เกิดเหตุหลังลงมือยิงแล้ว และจะต้องหนีพ้นมือตำรวจไทยให้ได้ตลอดไป มิฉะนั้นต้องลงเอยในคุก มิฉะนั้นจะต้องด่าวดิ้นสิ้นชีพ เพราะปืนของตำรวจเช่นกัน ซึ่งการหลบหนีตลอดไปนั้น
ไม่ใช่ของง่ายเลย!
ผมอยากจะเรียนท่านผู้อ่านว่า อาชีพมือปืนนั้น ยังคงมีอยู่ดาษดื่นในบ้านเรา นั้น
จำนวน มือ ปืนไทยแลนด์ที่รับจ้างยิงคน อาจมีลำดับจำนวนมาก อยู่ในลำดับต้นๆของโลก ก็ว่าได้!!

ในการสู้รบระหว่างทหารกับชาวบ้าน ทั้งในวันที่ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค.2553 นั้น สื่อต่างๆเขามองกันว่า รัฐบาลพยายาม
ประแป้งแต่งสี ให้ผู้ชุมนุมกลายเป็นผู้ก่อการร้ายทั้งๆที่หลักฐานปรากฏชัดเจน ทั้งจากสื่อต่างประเทศและสื่อบ้านเราเอง ว่าทางฝ่ายทหารมีการใช้พลซุ่มยิงในปฏิบัติการ อย่างที่นำภาพจาก ไทยรัฐมาแสดง ให้เห็นกันในคอลัมน์ก่อนของผู้เขียน




นอกจากนั้นยังมีภาพอื่นๆ อย่างที่แสดงให้เห็นนี้ ประกอบกับมีการยอมรับของทางทหารบางส่วน อีกด้วยว่า
ทหารได้ส่งพลซุ่มยิงเข้าพื้นที่ ก่อนปฏิบัติการในวันที่ 10 เม.ย.2553 จะเริ่ม ซึ่งแม้ยังไม่มีภาพถ่ายเป็นหลักฐาน แต่ในปฏิบัติการ 19 พ.ค.2553 ก็ปรากฏภาพชัดเจนจากฝีมือการถ่ายของชาวต่างประเทศ และแพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว
แม้ทางการก็พยายามจะอ้างว่า ทางฝ่ายผู้ชุมนุมเอง ก็มีพวกคอยซุ่มยิงเช่นกัน และได้ฆ่าคนไปหลายคน โดยเฉพาะการฆ่าชายหญิงถึง 6 ศพ รวมทั้งผู้ช่วยพยาบาลผู้หญิงที่ชื่อ
น.ส.กมนเกด อัคฮาด ในเขตอภัยทานของวัดปทุมวนาราม ซึ่งทางรัฐบาลก็ซัดไปว่า เป็นฝีมือของ Men in Black (เหมือนหนังฝรั่ง) หรือ ชายชุดดำแต่ ไม่เคยมีหลักฐานมาแสดง หรือจับคนชุดดำได้เลย เพียงแต่อ้างกันขึ้นมาลอยๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเท่านั้น ไม่มีทั้งพยานหลักฐาน หรือภาพชัดเจน เหมือนอย่างที่ฝ่ายทหารซุ่มยิง และถูกถ่ายภาพเอาไว้ได้เยอะแยะ หนังสือพิมพ์อย่างข่าวสดก็เกาะติดเรื่องนี้แจอยู่ และคงจะได้ความจริงเพิ่มเติมกันไม่ช้านี้
ดังนั้น พี่น้องประชาชน เขาก็สามารถที่จะเลือกได้ว่า ควรจะเชื่อคำแก้ตัวของรัฐบาล หรือจะเชื่อฝ่ายไหนดี?

มีหลายท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า ต่อจากนี้ไป คำว่ามือปืนกับ สไนเปอร์หรือ พล ซุ่มยิงจะต้องกลายเป็นของคู่กับเมืองไทย ทั้งนี้เพราะ...
ต่อไปนี้ ในกรณีที่มีความขัดแย้งที่รุนแรง ความต้องการในการจ้างวานใช้ คนที่ใช้ปืนลักษณะการซุ่มยิงได้ ก็จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ยังผลให้จากนี้ไป เราคงจะได้เห็นความปลอดภัยในชีวิตร่างกายของพวกนักการเมือง ตลอดจนผู้คนในวงการธุรกิจ จะลดน้อยถอยลง
คนพวกนี้จะ ตายโหงกันมากขึ้น!

สำหรับสภาวการณ์ปัจจุบัน ผมมีความเชื่อมั่นว่า...
เมื่อเวลาผ่านไป ข้อเท็จจริงต่างๆ ก็จะหลั่งไหลมาปรากฏต่อสาธารณชนอีกมากมาย จากทั้งฝ่ายรัฐบาลและคู่ขัดแย้ง
ดังนั้น ทางรัฐบาลและทหาร จึงมีภารกิจที่จะต้องเร่งรีบขวนขวายหาหลักฐาน มาสนับสนุนการกล่าวอ้างของพวกตนให้ชัดเจน เพราะคนไทยนั้นเขากินข้าวกัน ไม่ได้กินแกลบ จึงต้องเตือนกันไว้ให้ชัด ตรงนี้ว่า
หากรัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ปัญหา จงอย่าได้สร้างพยานหลักฐานที่ไม่จริง เพียงเพื่อปกปิดการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ขึ้นมาเป็นอันขาด เพราะยุคสมัยนี้นั้น มันจับได้ไล่ทันกันได้ไม่ยากเลย อีกทั้งการตอแหลตอหลดตดใต้น้ำ หรือกล่าวเท็จ จะยิ่งทำให้เรื่องบานปลายสืบสาวราวเรื่องกันออกไปอีก แบบไม่รู้จบทีเดียว ต้องระลึกไว้เสมอว่า ในยุคสมัย I.T. อย่างทุกวันนี้นั้น
จะเอาฝ่ามือปิดแผ่นฟ้าไว้ มันปิดไม่มิดหรอก...นะจ๊ะ!

เมื่อเวลาเหตุการณ์ร้ายแรงผ่านพ้นไปแล้ว ข้อเท็จจริงใหม่ๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ร้ายแรงทั้งเดือน เม.ย.และพ.ค. ก็จะทั้งผุดทั้งโผล่ขึ้นมาทุกวัน กระบวนการข่าวลือก็จะยิ่งขยายวงแพร่สะพัดไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะปัจจุบันตอนนี้ คนจำนวนมากเขาเชื่อกันแล้วว่า
หน่วยซุ่มยิงของทหารไทย ไม่ได้กระทำไปเพื่อการปกป้องมาตุภูมิ เยี่ยงพลซุ่มยิงซึ่งเป็น วีรบุรุษของชาวรัสเซียและฟินแลนด์ ดังที่ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างมา

ยิ่งไปกว่านั้น ถึงวันนี้ กลับมีชาวบ้านเป็นจำนวนมาก ที่เขามองการ ล้อมปราบของทางการว่า

รัฐบาลของนายอภิแสบฯ และทหาร...ฆ่าประชาชน!!!

กูจะ สู้....สู้จนประชาธิปไตยมี

แผ่นดิน เดือดเลือดนองกองด้วยศพ
คือเกมจบไล่อำมาตย์ไม่คาดหนา
ถูกเล็งยิงกลิ้ง ดับนับคณา
สั่งทหารอำมาตย์มาเข่นฆ่าคน

เราเสื้อแดงมือเปล่าเข้า ต่อสู้
หวังกอบกู้ประชาธิปไตยที่ตกหล่น
ถูกทหารอำมาตยาเข่นฆ่าจน
ศพ กองกันเกลื่อนกล่นจนมากมี

การชุมนุมในครั้งนี้แม้สิ้นสุด
กูไม่ หยุดจะสู้ต่อก่อวิถี
ลมหายใจประชาธิปไตยกูยังมี
กูจะสู้สู้ทุกที่ตลอด ไป

ให้มึงรู้แม้จะตายมากมากเห็น
คนที่เป็นจะหยัดยืนคืนสู้ใหม่
ไม่ มีท้อจะขอสู้สู้ต่อไป
สู้เพื่อคืนความเป็นไทให้ชีวิน

ไม่ยอมก้ม หัวให้เผด็จการ
ที่สังหารประชาชนจนดับดิ้น
เข้าปกครองข่มขับจับชีวิน
เอา แผ่นดินกูนี้ไปครอบครอง

แผ่นดินนี้ปู่ย่ากูเคยยืนหยัด
ร่วมกำจัด ไพรีมีทั้งผอง
หวังลูกหลานอยู่เป็นสุขสิ้นทุกข์ครอง
กลับหม่นหมอง ถูกรังแกทุกแง่มุม

ถูกเอารัดเอาเปรียบถูกเหยียบย่ำ
ถูกกระทำย่ำยี กดขี่สุม
ถูกอยุติธรรมนำสร้างเข้ากางกุม
อำมาตย์รุมเอาเปรียบคอย เหยียบเรา

หมดหนทางเงยหน้าถ้าไม่สู้
หมดหนทางจะยืนอยู่ดูใครเขา
มี แต่อายขายหน้าอับปราเรา
อยู่ใต้เงาอำมาตยาเข่นฆ่าคน

ยอมไม่ได้ขาย หน้าประชาโลก
แสนวิโยคในจิตคิดหมองหม่น
ต้องกอบกู้ความเป็นไทให้มวลชน
กู จะสู้....สู้จนประชาธิปไตยมี


vinitaya